บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ที่ให้ความสนใจ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชม

9.13.2555

ทำไม?? ใบไมเปลี่ยนสี

ใบไม้เปลี่ยนสี
เมื่อลมหนาวมาเยือน หลายๆ คน คงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบๆ ตัว โดยเฉพาะ ต้นไม้ที่เจริญในเขตอบอุ่น ส่วนที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนคือ ส่วนของใบ โดยใบไม้ที่มี สีเขียว จะมีการเปลี่ยนสีที่แตกต่างกันไป บ้างก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน สีส้ม สีแดง และสีน้ำตาล เมื่อเวลา ผ่านไปสักระยะหนึ่งใบไม้ที่มีการเปลี่ยนสีต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะกลายเป็นเป็นใบไม้แห้งร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดิน กลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศต่อไป



    สีเขียวของใบไม้เกิดขึ้นเนื่องมาจากสารสีคลอโรฟิลล์ พบอยู่ในคลอโรพลาสต์ (chloroplast) ซึ่งมี โครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายถุงแบนๆ มีเยื่อหุ้ม เรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylacoid) และบนไทลาคอยด์นี้เองที่มี คลอโรฟิลล์ที่ทำหน้าที่ในการรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการสร้างอาหาร ของ พืชด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ซึ่งกระบวนการสร้างอาหารของพืชจะเกิดขึ้น บริเวณส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช เช่น ใบ

ทำไมใบไม้เปลี่ยนสี ????  

             ในเซลล์พืชนอกจากสารสีคลอโรฟิลล์ที่ทำให้พืชมีสีเขียวแล้ว ยังมีสารสีแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งเป็น สารประกอบประเภทไขมัน มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ในพืชชั้นสูงสารสีแคโรทีนอยด์ อยู่ในคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วย สารสี 2 ชนิด แคโรทีน (carotene) เป็นสารสีแดงหรือสีส้ม หากมีสารสีคลอโรฟิลล์และสารสี แคโรทีน อยู่ในใบเดียวกัน จะสะท้อนแสงสีแดง เขียวแกมน้ำเงินและแสงสีน้ำเงิน ทำให้ใบมีสีเขียว แซนโทฟิลล์ (xantrophyll) เป็นสารสีเหลืองหรือสีน้ำตาล

             ในเซลล์พืชโดยปกติมีสารสีทั้ง 3 ชนิด แต่ถ้ามีสารสีชนิดใดมากกว่า พืชชนิดนั้นก็จะปรากฏให้เห็นสี ของสารสีชนิดนั้น ๆ เช่น ใบของต้นมะม่วงสีเขียว เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์อยู่มาก

             พืชต้องการแสงและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการผลิตคลอโรฟิลล์ เพื่อใช้ในการสร้างอาหารโดยการ สังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งปกติพืชจะมีการสร้างคลอโรฟิลล์อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ใบไม้มีสีเขียว แต่ใบไม้เหล่านี้ ก็จะมีการเปลี่ยนสีได้ เมื่อมีการเปลี่ยนสีได้ เมือมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เพราะการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของช่วงความยาว ของวัน กล่าวคือ ในช่วงฤดูหนาวจะมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าในช่วงฤดูร้อน และมีช่วงเวลากลางคืนที่นานกว่า ฤดูร้อน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อปริมาณแสงที่พืชได้รับ คือ ในช่วง ฤดูหนาวพืชได้รับแสงในปริมารน้อยลง และอุณหภูมิก็มีค่าต่ำลง พืชจึงมีการตอบสนอง โดยการสร้างคลอโรฟิลล์ ในปริมาณที่น้อยลง และในขณะเดียวกันคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่เดิมก็จะสลายตัวอยู่ตัวตลอดเวลา ใบไม้ที่มีสีเขียว จึง เริ่มมีการเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองหรือส้ม แดง จนในที่สุดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงลงสู้พื้นดิน (เข้าสู่กระบวนการร่วงของใบ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ ปี 2545 เรื่อง ต้นไม้สลัดใบ)

ถ้าพืชไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียว สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้หรือไม่ ?
             คลอโรฟิลล์ไม่เพียงทำให้พืชมีสีเขียวเท่านั้น โดยคลอโรฟิลล์ เอ ให้สีเขียวเข้ม คลอโรฟิลล์ บี ให้สี เขียวอ่อน คลอโรฟิลล์ ซี ให้สีส้ม คลอโรฟิลล์ ดี ให้สีน้ำตาล ดังนั้นพืชที่ไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียวก็ไม่ได้หมายถึง ไม่มีคลอโรฟิลล์ แต่อย่างไรก็ตามพืชที่จะสามารถสังเคราะหืด้วยแสงได้จะต้องมีสารสีคลอโรฟิลล์เอ ที่เป็น สารสีหลักที่จะถ่ายทอดอิเล็กตรอนในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ... ดังนั้นแม้พืชทีไม่มีส่วนที่เป็นสีเขียว จึงมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นได้

เอกสารอ้างอิง

ชวนพิศ แดงสวัสดิ์. 2544. สรีรวิทยาของพืช. พัฒนาศึกษา: กรุงเทพฯ.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2548. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและเพิ่มเติมชีววิทยา เล่ม 4 กลุ่มสาระการเรียน

http://www.i-creativeweb.com/demo/biology/index.php?option=com_content&view=article&id=173:2009-12-23-06-17-48&catid=45:bio-article-&Itemid=112

การสืบพันธุ์ของพืชดอก

วิตมินซีดีอย่างไร

  วิตามินซี (vitamin C) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อกรดแอสคอบิก (ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้  มีความจำเป็นต่อการเจริญและพัฒนาของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมรวมไปถึงมนุษย์ไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้ แต่จะได้รับวิตามินซีจากอาหารที่รับประทานเข้าไป

บทบาทสำคัญของวิตามินซีมากมายหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น 

 1. เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในโครงสร้างของหลอดเลือด เอ็น กระดูก และฟัน 
 2. เป็นสารด้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสุงช่วยปกป้องเซลล์ ทำให้เซลล์อยู่ในสภาวะปกติ 
 3. ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุจากอาหารได้ดียิ่งขึ้น 
 4. มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทจำพวก norepinephrine ซึ่งสารสื่อประสาทดังกล่าวนี้มีส่วนช่วยทำให้มองรับรู้เกี่ยวกับอารมณ์ 
 5. ช่วยในการสังเคราะห์สาร carnitine ซึ่งเป็นสารโมเลกุลขนาดเล็กที่มีส่วนช่วยในการลำเลียงไขมันที่ไมโทคอนเดรียเพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน 
     แก่ร่างกาย 
 6. มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมของโคเลสเทอรอล โดยจะช่วยเปลี่ยนโคเลสเทอรอลให้กลายเป็นกรดน้ำดี (bile acids) ทำให้ 
     ระดับโคเลสเทอรอลในหลอดเลือดลดลงได้ 
 7. เสริมภูมิต้านทานและช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ เนื่องจากวิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ 
  
          สำหรับอาหารที่จัดว่ามีวิตามินซีสูง ได้แก่ อาหารจำพวกผักและผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ มะนาว กีวี พริกหยวก ผักกาด มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่งและบล็อคโคลี่ เป็นต้น เนื่องจากวิตามินซีสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับอากาศ แสง โลหะหรือความร้อน ดังนั้นส่วนใหญ่วิตามินซีที่มีอยู่ในอาหารจะสูญเสียไประหว่างขั้นตอนของการประกอบอาหาร เช่น ในกระบวนการต้มหรือนึ่งอาหารที่ใช้เวลานานมากเกินไป เช่นเดียวกับการแช่ผักไว้ในช่องแช่แข็งเป็นระยะเวลานานหรือหั่นผักแล้วนำไปแช่น้ำจะทำให้วิตามินซีละลายไปกับน้ำได้ นอกจากนั้นการคั้นน้ำผลไม้รับประทานควรจะคั้นแล้วรับประทานเลยทันที ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 วัน ถ้าเป็นไปได้ควรบริโภคผักและผลไม้สดเพราะจะให้ทำให้ได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากที่สุดได้





ยูคาลิปตัส ประโยชน์หรือโทษมหันต์ต่อสุขภาพดิน


ยูคาลิปตัส ประโยชน์หรือโทษมหันต์ต่อสุขภาพดิน

สุทธิพงษ์  พงษ์วร


          หลังจากที่ได้ดูรายการทีวีที่พยายามนำเสนอและสนับสนุนเรื่องการปลูกยูคาลิปตัส พันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และเพื่อการนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือปลูกขายเพื่อนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ ทำนั่งร้านสำหรับการก่อสร้างอาคาร และการทำไบโอดีเซล แต่เป้าหมายหลักๆ ก็คือความคาดหวังในการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ปลูกนั่นเอง

          พอได้ดูได้ฟังแล้วก็อดใจที่จะไม่ให้มีคำถามเกิดขึ้นในใจไม่ได้จริงๆ สำหรับนโยบายการกลับมาส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัสอีกครั้ง เพราะในอดีตรัฐบาลสมัยก่อนๆ ก็ได้เคยส่งเสริมการปลูกมาแล้ว และผลที่เห็นก็คือคุณภาพดินแย่ลง ซึ่งผลดังกล่าวยังคงปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบันในหลายพื้นที่ และเมื่อมีการนำโครงการส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัสมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เราในฐานะประชาชนต้องหันมาคิดแบบวิทยาศาสตร์กันสักหน่อย ถึงผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา ก่อนที่จะลงมือทำอะไรลงไป

         และวิธีที่ดีที่สุดและทำได้ง่ายที่สุด ก็คือ ต้องพยายามหาข้อมูลงานวิจัยมาสนับสนุนหรือคัดค้านแนวคิดของตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจปลูก และยังเป็นข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นว่าการปลูกยูคาลิปตัส พืชนำเข้าจากประเทศออสเตรเลียนั้นมีประโยชน์หรือเป็นโทษกันแน่

         เบื้องต้น เราควรมาทำความรู้จักต้นยูคาลิปตัสกันก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร ต้นยูคาลิปตัสจะมีมากมายหลายสายพันธุ์ และมีมากกว่า 700 ชนิดเลยทีเดียว ส่วนใหญ่พบเป็นพืชประจำถิ่นของออสเตรเลีย มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่พบได้ในบริเวณใกล้เคียงกับออสเตรเลีย เช่น พบในนิวกินี อินโดนีเซียและเกาะทางเหนือของหมู่เกาะฟิลิปปินส์อีกหนึ่งเกาะ ต่อมาจึงมีการนำมาปลูกในหลายพื้นที่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศสหรัฐอเมริกา แอฟริกา อิสราเอล อเมริกาใต้ อินเดีย และจีน เป็นต้น เพื่อจุดประสงค์หลักอย่างเดียวก็คือเพื่อประโยชน์ทางการค้า เนื่องจากเป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้เร็ว และสามารถดำรงชีวิตในที่แห้งแล้งได้ดี        

         ปัจจุบันนี้ แนวคิดในเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญทางด้านป่าไม้ กับผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤกษศาสตร์  บ้างก็กล่าวว่ายูคาลิปตัสเป็นไม้โตเร็วที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็นำเสนอข้อมูลงานวิจัยอีกด้านเพื่อนำมาเป็นข้อโต้แย้งในหลายประเด็น อาทิ เช่น ใบของต้นยูคาลิปตัสจะมีน้ำมันที่เมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นดินจะทำให้คุณภาพดินเสียไป และต้นยูคาลิปตัสเองยังเป็นพืชที่ใช้น้ำในดินปริมาณมากสำหรับการเจริญเติบโต ดังนั้นในเรื่องของการส่งเสริมการปลูก จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างระมัดระวัง เพราะจากการนำยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกในประเทศไทยเมื่อกว่า 30 ปีจะเห็นได้ว่ายูคาลิปตัสจะทำให้คุณภาพดินและระบบนิเวศเสียไปมากกว่าที่จะทำให้ดีขึ้น

         หลังจากที่มีการทดลองนำเอายูคาลิปตัสไปปลูกในทะเลทรายในอิสราเอล ก็พบว่ายูคาลิปตัสเติบโตได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากนั้นก็เกิดคำถามว่า….”ทำไม?” จึงมีการศึกษาในเรื่องนี้เพื่อดูการใช้น้ำในการเจริญเติบโตของพืชชนิดนี้ พบว่าระบบรากของยูคาลิปตัสสามารถที่จะชอนไชไปดึงน้ำที่ถูกเก็บไว้ใต้ดินหรือตามซอกหินมาใช้ได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น การศึกษาในครั้งนี้จึงเป็นการให้ข้อมูลยืนยันว่า ยูคาลิปตัสเป็นพืชที่มีระบบรากและระบบการดูดซึมน้ำที่ดี ซึ่งจากข้อได้เปรียบในเรื่องที่มันเป็นพืชที่มีความสามารถในการดำรงชีวิตในเขตแห้งแล้งนี่เอง จึงเป็นข้อควรระวังในการนำเข้ามาปลูกในพื้นที่ที่มีพืชประจำถิ่นอยู่ เพราะจะทำให้พืชประจำถิ่นไม่สามารถแข่งขันได้และตายไปในที่สุด

          ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาในเรื่องของการสลายตัวของใบยูคาลิปตัสและการเปลี่ยนแปลงของธาตุอาหารพืช ได้แก่ โพแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และไนโตรเจน พบว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างยูคาลิปตัส ทำให้สมดุลของธาตุอาหารพืชในดินเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง และความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตหน้าดินก็มีแนวโน้มลดลง แล้วยังมีผลต่อจำนวนและชนิดของแมลงที่อาศัยกับพืชน้ำโดยรอบสวนป่ายูคาลิปตัสด้วยเมื่อศึกษาเทียบกับป่าธรรมชาติ  ส่งผลให้คุณภาพดินและสิ่งแวดล้อมค่อยๆ เสื่อมคุณภาพลงไปในที่สุด

        นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับชนิดของพืชในเรื่องของระบบราก ใบ การย่อยสลายของใบ ธาตุอาหารของพืชที่ได้จากการสลายตัว กับความหนาแน่นของไส้เดือนดินในหมู่เกาะฮาวาย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมามีผลต่อความหนาแน่นของไส้เดือนดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วย ในการศึกษาวิจัยดังกล่าวเป็นการศึกษาเปรียบเทียบแปลงเพาะปลูกต้นยูคาลิปตัสกับต้นอัลบีเซีย (Albizia) หลังจากปลูกเป็นระยะเวลา 9 ปี พบว่าต้นอัลบีเซียซึ่งเป็นไม้โตเร็วเช่นกันมีอัตราการล่วงหล่นของใบมากกว่าต้นยูคาลิปตัสและมีอัตราการสลายตัวของใบเร็วกว่าต้นยูคาลิปตัสทำให้เหลือใบของมันกองอยู่บนพื้นน้อยกว่าแปลงเพาะปลูกยูคาลิปตัส เมื่อสำรวจดูปริมาณไส้เดือนดินในแปลงเพาะปลูกต้นไม้ทั้งสองชนิดก็พบว่าปริมาณไส้เดือนดินในแปลงที่ปลูกต้นอัลบีเซียมีมากกว่าปริมาณไส้เดือนดินในแปลงเพาะปลูกยูคาลิปตัส ถึง 5 เท่า และเมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับแปลงที่ปลูกยูคาลิปตัสร้อยละ 75 ผสมกับต้นอัลบีเซียร้อยละ 25 พบว่ามีปริมาณไส้เดือนดินมากกว่าแปลงที่ปลูกยูคาลิปตัสอย่างเดียวถึง 3 เท่า การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าใบยูคาลิปตัสมีคุณภาพต่ำถ้ามองในเรื่องของการนำกลับมาเป็นปุ๋ยบำรุงดินและย่อยสลายได้ช้า ทำให้คุณภาพของดินค่อยๆ เสื่อมลง ปริมาณไส้เดือนดินจึงน้อยลงตามลำดับ เพราะซากพืชซากสัตว์ในดินซึ่งเป็นแหล่งอาหารของไส้เดือนดินลดลงนั่นเอง และไส้เดือนดินเองก็มีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพดินด้วย

        อีกกรณีที่อยากจะให้คิดและคำนึงถึง ก็คือ เรื่องสมดุลของการปลูกพืชแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริ กับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวซึ่งเคยปฏิบัติกันมา ซึ่งในกรณีหลังพบมีผลทำให้คุณภาพดินแย่ลงและสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศบริเวณนั้นก็มีความหลากหลายลดลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นการปลูกพืชแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

         สรุป อีกครั้งสำหรับเป็นแนวทางในการตัดสินใจที่จะปลูกยูคาลิปตัส มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ คุณภาพดิน ถ้ามั่นใจว่า ดินบริเวณนั้นมีคุณภาพต่ำจนไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่นได้ ก็สามารถปลูกยูคาลิปตัสได้ เพราะยูคาลิปตัสเป็นพืชที่ทนต่อสภาวะแวดล้อมที่แย่ๆ ได้ดี แต่ถ้ายังมีทางเลือกที่จะปลูกพืชชนิดอื่น ก็ขอให้คิดให้รอบคอบว่ามันคุ้มกันไหมกับสิ่งที่จะได้มา และสิ่งที่จะเสียไป ซึ่งนั่นก็คือ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินที่ใช้ในการปลูกพืชนั่นเอง



เอกสารอ้างอิง

Briones, M. J. I. & Ineson, P. (1996) Decomposition of Eucalyptus leaves in litter mixtures. Soil  Biology   and  Biochemistry, 28(10), 1381-1388.
Callisto, M., Barbosa, F. A. R. & Moreno, P. (2002) The influence of Eucalyptus plantations on the macrofauna associated with Salvinia auriculata in southeast Brazil. Brazilian Journal of Biology, 62 (1), 63-68.
Cohen, Y., Adar, E., Dody, A. & Schiller, G. (1997) Underground water use by Eucalyptus trees in an arid climate. Trees,11, 356-362.
Wipatayotin, A. (2008) Two ministers reject concerns over Eucalyptus. Bangkok Post. 12 February, p.4, Bangkok.
Zoe, X. (1993) Species effects on earthworm desity in tropical tree plantations in Hawaii. Biology and Fertility of Soils, 15,35-38.


http://www.i-creativeweb.com/demo/biology/index.php?option=com_content&view=article&id=209:-8-51&catid=45:bio-article-&Itemid=112

เม็ดเลือดแดง


เซลล์เม็ดเลือดแดง คืออะไร
         เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cell หรือ erythrocyte) เป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส และมีรูปร่างแตกต่างจากเซลล์โดยทั่วไป เมื่อดูผ่านกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงมีลักษณะคล้ายกับโดนัทที่ไม่มีรูตรงกลาง โดยส่วนกลางจะมีลักษณะบางกว่าส่วนขอบของเซลล์ ลักษณะดังกล่าวเมื่อดูผ่านกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงจะทำให้ปริมาณแสงส่องทะลุผ่านได้ไม่เท่ากัน เกิดเป็นภาพคล้ายกับโดนัทที่เห็นกันจนคุ้นตา


ภาพที่ 1  เซลล์เม็ดเลือดแดงที่ส่วนกลางเซลล์แสงจะส่องทะลุผ่านได้มากกว่า
(ภาพโดย – สุทธิพงษ์ พงษ์วร)

          เซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่นำออกซิเจนส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยอาศัย “ฮีโมโกลบิน (hemoglobin)” เป็นตัวนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่างๆ และพาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์เพื่อกำจัดออกจากร่างกายต่อไป (รายละเอียดอ่านได้ในเรื่องการรักษาดุลภาพของร่างกาย หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและเพิ่มเติมชีววิทยา เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4) การที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีสีแดงก็เนื่องมาจาก ฮีโมโกลบินภายในเซลล์ซึ่งเมื่อจับกับออกซิเจนแล้วจะทำให้เกิดสีแดงขึ้น

          สำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ (รวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดแดง) ในช่วงแรกของระยะเอ็มบริโอ เซลล์เม็ดเลือด (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ เซลล์เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด) จะถูกสร้างขึ้นจากกลุ่มเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) ในบริเวณตับ (liver) ม้าม(spleen) และไขสันหลัง (bone marrow) ต่อมาในช่วง 3-6 เดือนของทารกในครรภ์ การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง (และ granulocyte monocyte และ megakaryocyte ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่จะเจริญต่อไปเป็นเกล็ดเลือด) จะถูกสร้างที่ตับและม้ามเป็นหลัก จากนั้นเมื่อทารกคลอดมาแล้วการสร้างเซลล์เม็ดเลือดก็จะถูกสร้างที่ไขสันหลังเป็นหลัก ซึ่งการเปลี่ยนตำแหน่งในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการเจริญของเนื้อเยื่อและเซลล์ที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ไขสันหลังด้วย  
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ 

         ทำไมเซลล์เม็ดเลือดแดงถึงมีรูปร่างไม่กลมเหมือนเซลล์อื่นๆ  ประเด็นแรกก็คือ การที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างของเซลล์ในลักษณะนี้ก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการเพิ่มพื้นที่ผิวของการแพร่ของออกซิเจนผ่านเข้า-ออกเซลล์ ทำให้ประสิทธิภาพในการขนส่งออกซิเจนทำได้รวดเร็วขึ้นกว่าเซลล์โดยทั่วไป โปรตีน Spectrin แยกออกจากกันจะเกิดเป็นโพรงภายในเซลล์และทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสามารถยืดตัวและรอดผ่านหลอดเลือดฝอยไปได้

           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ของโครงสร้างกับหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดแดง เพื่อทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของเซลล์เม็ดเลือดแดงปกติและภาวะการเกิดโรคเกี่ยวกับเซลล์เม็ดเลือด โดยทำการศึกษาการเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ดเลือดแดงผ่านหลอดเลือดฝอย เพื่อดูว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงมีการเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างไรเพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ผ่านหลอดเลือดฝอยที่มีขนาดของท่อเล็กกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง (เซลล์เม็ดเลือดแดงมีขนาด 8 ไมโครเมตร หลอดเลือดฝอยที่สมองเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ไมโครเมตร) ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเพื่อให้รูปร่างภายนอกของเซลล์เปลี่ยนไปด้วย (เหมือนลักษณะของลูกโป่งกลมๆ ถูกดันให้ผ่านท่อที่มีขนาดเล็ก) โดยโปรตีนที่มีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์เม็ดเลือดแดงคือโปรตีนที่เรียกว่า Spectrin โดยพบว่าเมื่อแขนงโปรตีน Spectrin แยกออกจากกันจะเกิดเป็นโพรงภายในเซลล์และทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสามารถยืดตัวและรอดผ่านหลอดเลือดฝอยไปได้



ภาพที่ 2  การเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ดเลือดแดงผ่านท่อที่มีขนาดเล็ก
(ที่มา - New model shows molecular mechanics of red blood cells. MIT Tech talk)
          ลักษณะพิเศษอีกอย่างของเซลล์เม็ดเลือดแดงก็คือ เซลล์เม็ดเลือดแดงไม่มีนิวเคลียส ซึ่งจะทำให้ภายในเซลล์มีที่ว่างเหลือสำหรับการเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสามารถขนส่งออกซิเจนได้มากขึ้น นอกจากนี้เซลล์เม็ดเลือดแดงยังไม่มีไมโทคอนเดรีย ซึ่งเราก็ทราบหน้าที่ของไมโทคอนเดรียดีว่าเป็นออร์แกเนลล์ที่ทำหน้าที่สร้างพลังงานให้กับเซลล์ แต่ถึงเซลล์เม็ดเลือดแดงจะไม่มีไมโทคอนเดรีย มันก็ยังสามารถสร้าง ATP เพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์ได้ โดยสร้างจากกระบวนการเมแทบอลิซึมแบบที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic metabolism) ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อทำให้ออกซิเจนที่เก็บไว้ในเซลล์ถูกขนส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกายโดยไม่ถูกใช้ไปในเมแทบอลิซึมของเซลล์แบบที่ใช้ออกซิเจน (aerobic metabolism) จะเห็นได้ว่ามันเป็นการปรับตัวเพื่อทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด 
  
เอกสารอ้างอิง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2548) หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและ เพิ่มเติม ชีววิทยา เล่ม 2
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2544. พิมพ์ครั้งที่ 3. 113 หน้า.
Berne, R. M. & Levy, M. N. (1993)Physiology, Missouri, Mosby-Year Book, Inc.
Campbell, N. A., Reece, J. B., Urry, L. A., Cain, M. L., Wasserman, S. A., Minorsky, P. V. & Jackson, R. B. (2008)Biology, San Francisco, Pearson Education, Inc.
Trafton, A. (2007) New model shows molecular mechanics of red blood cells. MIT Tech talk,51(20),  5-6. Available : http://web.mit.edu/newsoffice/2007/techtalk51-20.pdf (Retrieved 29/10/2008)

 
http://www.i-creativeweb.com/demo/biology/index.php?option=com_content&view=article&id=211:2009-12-23-12-06-17&catid=45:bio-article-&Itemid=112


หนูน้อยอัจฉริยะวัย 4 ขวบ ไอคิวเทียบเท่า ‘ฮอว์คิง-ไอน์สไตน์’



Picture : Solent News & Photo Agency
สมาคมคนอัจฉริยะ “เม็นซ่า″ ยอมรับหนูน้อยผู้ดีวัย 4 ขวบ หลังทดสอบไอคิวได้สูงถึง 159 เกือบเท่ากับ “สตีเฟน ฮอว์คิง” และ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” โดยทั้งสองคนดังไอคิวอยู่ที่ 160…
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 13 เม.ย. ว่า หนูน้อย ไฮดี้ แฮนกิ้นส์ วัยเพียง 4 ขวบ จากเมืองวินเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้รับการยอมรับจากสมาคมคนอัจฉริยะ “เม็นซ่า″ แม้เธอยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าศึกษาในโรงเรียนเลยก็ตาม

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จากเม็นซ่า เดินทางไปทดสอบระดับไอคิวของเธอที่เนิร์สเซอรี่ และยอมรับว่าหนูน้อยฉลาดเป็นกรด ไอคิวสูงถึง 159 เทียบเท่ากับ “สตีเฟน ฮอว์คิง” นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา ศาสตรจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยทั้ง 2 ท่านมีไอคิวอยู่ที่ 160 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของไอคิวผู้ใหญ่ทั่วไปอยู่ที่ 100 ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่ที่ 130

หนูน้อยไฮดี้ สามารถบวกและลบเลข วาดภาพเหมือนบุคคล เขียนเป็นประโยค และอ่านหนังสือสำหรับเด็ก 7 ขวบ ได้เมื่อเธออายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ส่วนแบบทดสอบของเม็นซ่า ที่เธอได้ทำการทดสอบนั้น ถูกออกแบบมาเพื่อเด็กในวัยเดียวกับเธอ ที่ผสมผสานการแก้ปัญหาลงไปในรูปแบบต่างๆ ทั้งปริศนาภาพและคำ

ด้าน แมทธิว แฮนกิ้นส์ บิดาของหนูน้อย หวังว่าลูกสาวจะได้ข้ามไปศึกษาในชั้นเรียนที่เหมาะสมกับเธอเลย แทนการนั่งเรียนตั้งแต่เริ่มแรก และเล่าว่า ลูกสาววาดภาพบุคคล วาดภาพเจ้าหญิง และสรรพสัตว์ ขณะอายุแค่ 14 เดือน แต่เธอยังเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป ที่ชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้และต่อเลโก้ แต่สักพักเธอก็จะไปนั่งอ่านหนังสือ โดยที่ครอบครัวไม่ได้ยัดเยียดให้เธอเลย เธอเลือกเองทั้งหมด และชอบเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วย นอกจากนี้เธอยังพยายามออกเสียงและพูดให้เป็นคำตั้งแต่เกิด เมื่ออายุ 1 ขวบความรู้ด้านคำศัพท์อยู่ในระดับดี ขณะเริ่มพูดเธอก็พูดแบบเต็มรูปแบบประโยคเลยทันที

ขณะที่ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ระบุว่า “เราเชื่อมาเสมอว่าไฮดี้เป็นเด็กฉลาด เพราะเธออ่านหนังสือได้ไวมาก ผมอยากรู้ว่าไอคิวของเธอจะสูงแค่ไหน จึงให้เธออ่านหนังสือชุด จำนวน 3 เล่มของอ็อกฟอร์ด สำหรับเด็ก 7 ขวบ เมื่อเธออายุเพียงแค่ 2 ขวบ และเธออ่านจบทั้งหมดภายในเวลา 30 นาที”

จอห์น สตีเวนาจ ประธานกรรมการเม็นซ่าแห่งอังกฤษ ระบุว่า ระดับไอคิวของไฮดี้จะไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดลงเมื่อเธออายุมากขึ้น และหวังว่าครอบครัวของเธอจะให้เธอเข้าสมาคมเม็นซ่า เพื่อพัฒนาบุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยภาพต่อไป.





แพทย์ปากีฯเจ๋ง ผ่าตัดช่วยทารก 6 ขาสำเร็จ




ทีมแพทย์ปากีสถานเจ๋ง ผ่าตัดช่วยชีวิตทารก 6 ขา โอกาสเกิดเพียง 1 ในล้าน ประสบความสำเร็จ…
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 20 เม.ย. ด็อกเตอร์จามาล ราซา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็ก ในนครการาจี ประเทศปากีสถาน เผยว่า ทีมแพทย์ผู้มากประสบการณ์ 5 ราย ประสบความสำเร็จในการผ่าตัด ช่วยเหลือชีวิตทารกเกิดมามี 6 ขา เนื่องจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงแค่ 1 ในล้านเท่านั้น

ทั้งนี้ ทารกรายดังกล่าว เป็นลูกของเจ้าหน้าที่รังสีการแพทย์ เกิดเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลในเมืองซักเกอร์ ห่างจากนครการาจีไปทางตอนเหนือ ราว 450 กิโลเมตร และย้ายมาที่โรงพยายามเมืองการาจีเพื่อรับการรักษา ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านนายอิราน ชาอิกห์ บิดาของเด็กทารกเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “เป็นข่าวดีสำหรับพวกเรา พ่อแม่ต้องการเพียงแค่ลูกๆ มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เท่านั้น เราภาวนาให้เขามีชีวิตปกติและมีความสุข”.

http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci2/?cat=10

สัตว์วิ่งเร็วมักตาโต



คริส เคิร์ก ผู้เชี่ยวชาญจากแผนกมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบขนาดดวงตา และความเร็วในการวิ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 50 สายพันธุ์ จนพบว่า สัตว์นักวิ่งติดอันดับ ทั้ง ม้า ม้าลาย เสือชีตาห์ แมวป่า กระต่าย หรือแม้แต่หนูหริ่งตัวจิ๋ว มีดวงตากลมโต และใหญ่กว่าตาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ ถึง ร้อยละ 89 เลยทีเดียว

นั่นเป็นเพราะความเร็วในระหว่างวิ่ง มีผลทำให้ขนาดดวงตาของบรรดาเจ้าแห่งความเร็วเหล่านี้ ค่อยๆ พัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น เพิ่มขึ้นทั้งขนาดดวงตา ความคมชัดของประสาทรับภาพ รวมถึงการโฟกัสวัตถุรอบตัวในชั่วพริบตา ต่างจากช้างที่เกิดมาตัวโต แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบตามขนาดร่างกาย พี่ช้างตัวเบ้อเริ่มกลับมีดวงตาเล็กกระจิริดกว่าหนูหริ่งซะอีก

ดังนั้น ความเชื่อเดิมๆ ที่บอกว่าขนาดดวงตาของสัตว์ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกาย จึงไม่เป็นความจริงนั่นเอง



โลกตะลึง! อสุจิปลาหมึกแตก ทำป้าเกาหลี ‘ตั้งท้องในปาก’



หญิงเกาหลีใต้วัย 63 ปี ตั้งครรภ์ในปาก หลังเปิบเมนูปลาหมึก แพทย์พบลูกหมึก 12
ตัว ฝังตามเหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม ชี้ถุงอสุจิของสัตว์น้ำชนิดดังกล่าว
แตกระหว่างรับประทานอาหาร…
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 16 มิ.ย. ถึงเรื่องราวสุดประหลาดของหญิงสูงอายุวัย
63 ปี จากเกาหลีใต้ ที่เกิดอาการเจ็บแปลบในช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ
หลังรับประทานเมนูเกี่ยวกับปลาหมึก

ทั้งนี้ เธอบอกกับแพทย์ว่า รู้สึกได้ถึงบางอย่างในปากของเธอ กระทั่งการตรวจพบว่า
มีลูกปลาหมึกตัวเล็กอยู่ในปากของเธอมากถึง 12 ตัว ฝังอยู่ตามซอกเหงือก ลิ้น
และกระพุ้งแก้ม โดยเอกสารทางวิทยาศาสตร์ จากศูนย์ข้อมูลชีววิทยาแห่งชาติ
ในเมืองแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ชี้ว่า
ถุงน้ำเชื้อของปากหมึกแตกในปากของเธอระหว่างรับประทานอาหารชนิดดังกล่าว
จากนั้นอสุจิจึงฝังตัวตามซอกหลืบต่างๆ และขณะนี้ลูกปลาหมึกตัวจิ๋วทั้ง 12 ตัว
และเมือกที่ห่อหุ้มถูกนำออกจากช่องปากของหญิงเคราะห์ร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อนึ่ง เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว โดยเมื่อธ.ค. ปีที่แล้ว
หญิงชาวญี่ปุ่นมีอาการเจ็บในช่องปากเช่นเดียวกัน หลังรับประทานปลาหมึกดิบ
และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโทเซอิ
แล้วพบว่ามีถุงสเปิร์มของปลาหมึกฝังอยู่ในช่องปากของเธอจริง อย่างไรก็ดี
การแพร่พันธุ์ของปลาหมึกน้ำลึกยังคงเป็นปริศนา
เนื่องจากยังยากที่จะเข้าใจถึงถิ่นที่อยู่อาศัยและการดำรงชีวิตที่ชัดเจน.

http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci2/?cat=10

ชนะเลิศ! ภาพถ่ายเส้นเลือดแดงในสมองคนมีชีวิต






ภาพขาวดำของเส้นเลือดแดงในสมองที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดของเวลล์คัมทรัสต์

แม้จะดูชวนสยดสยอง แต่เส้นเลือดแดงในสมองของคนที่ยังมีชีวิต ก็เบียดภาพถ่ายวิทยาศาสตร์อันสวยงามอื่นๆ ทั้งภาพผลึกคาเฟอีน ภาพแมลงหวี่ขนที่ดูแปลกตาราวเอเลียน ชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายประจำปีของกองทุน “เวลล์คัมทรัสต์”

http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci2/?cat=10

“ผีเสื้อ”ญี่ปุ่น เริ่ม”กลายพันธุ์” หลังสารรังสีรั่วโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ


 การแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีสู่สภาพแวดล้อม ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ในผี้เสื้อของญี่ปุ่น




นักวิทยาศาสตร์พบว่าผีเสื้อที่เก็บรวบรวมตัวอย่างได้ หลังเกิดเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ไดอิจิ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว มีจำนวนขาที่เพิ่มขึ้น หนวดยาวขึ้น และปีกผิดรูปทรงเดิม และผลการทดสอบในห้องทดลองพบว่า การกลายพันธุ์และสารกัมมันตรังสีมีความเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยยะ

รายงานการวิจัย ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารไซเอนทิฟิก รีพอร์ทส โดยมีรองศาสตราจารย์โจจิ โอตากิ แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว ในจังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะหัวหน้าทีมงานเผยผลการวิจัยระบุว่า จากการเก็บตัวอย่างผีเสื้อฟ้าเซลล์จุดป่าสูง (Zizeeria maha) จำนวน 144 ตัว หลังเกิดวิกฤตการณ์นิวเคลียร์เมื่อเดือนมีนาคม 2011 เพียง 2 เดือน ในพื้นที่ 10 จุดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงฟุกุชิมะ




ภาพ: nature.com

จากการเปรียบเทียบ พบว่ามีการการกลายพันธุ์ในผีเสื้อที่รวบรวมได้จากพื้นที่ต่างๆกัน โดยในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนของสารรังสีสูง ผีเสื้อจะมีขนาดปีกที่เล็กลง และมีการพัฒนาของดวงตาที่ไม่เต็มที่

ศาสตราจารย์โอตากิ กล่าวว่า เดิมทีเข้าใจกันว่าผีเสื้อเป็นสัตว์ที่มีความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมมากที่สุดชนิดหนึ่ง แต่ผลที่ได้รับได้ให้ผลที่ไม่คาดคิด

ต่อมาได้มีการนำผีเสื้อพันธุ์ดังกล่าวมาเพาะพันธุ์ในห้องแลบในจังหวัดโอกินาวาที่ห่างจากจุดเกิเหตุกว่า 1,750 กม. ซึ่งเชื่อว่าสารกัมมัตรังสีแทบจะเดินทางมาไม่ถึง และพบความผิดปกติหลายประการในผีเสื้อที่โตเต็มวัยที่ต่างจากบรรพบุรษของมัน โดยเฉพาะจากพื้นที่ฟุกุชิมะ อาทิ หนวดที่พัฒนาผิดรูปผิดร่าง

โดยในอีก 6 เดือนต่อมา ทีมนักวิจัยได้ทำการรวบรวมผีเสื้อจากพื้นที่เดิมอีกครั้ง และพบว่าผีเสื้อที่มาจากฟุกุชิมะ มีอัตราการกลายพันธุ์สูงมากเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับที่เคยรวบรวมได้ครั้งแรก และสรุปว่า อัตราที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการที่พวกมันกินอาหารที่มีการปนเปื้อนสารรังสี แต่ส่วนหนึ่งมาจากบรรพบุรุษ ที่ถูกส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น แม้ว่าจะไม่ชัดเจนนักในผีเสื้อรุ่นก่อนหน้านี้ก็ตาม
ทีมนักวิจัยได้ทำการศึกษาผีเสื้อมานานกว่า 10 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์ที่ฟุกุชิมะ โดยใช้ผีเสื้อในฐานะดัชนีชี้วัดสิ่งแวดล้อม และพบว่าสัตว์ประเภทนี้ มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างยิ่ง เนื่องจากพบว่าผีเสื้อมีวิวัฒนาการด้านรูปแบบสีสันต่อภาวะโลกร้อนมาก่อน ศาสตราจารย์โอตากิ กล่าวว่า และเนื่องจากผีเสื้อเหล่านี้ถูกพบในสภาวะแวดล้อมจำลอง อย่างเช่น สวนสาธารณะ หรือสวนขนาดเล็ก ผู้เสื้อเหล่านี้จึงสามารถใช้เป็นตัวตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อยู่อาศัยได้

ผลการศึกษาครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ารังสีที่ถูกปล่อยออกมาในระหว่างอุบัติเหตุ ก่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงในทางที่น่ากังวล และการกลายพันธุ์ในผีเสื้อจะยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าระดับสารรังสีในสภาพแวดล้อมจะจางหายไปแล้วก็ตาม
ศ.โอตากิได้เตือนว่า ยังคงเร็วเกินไปที่จะสรุปได้ว่ารังสีที่รั่วไหลจะส่งผลกระทบกับสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ หรือแม้กระทั่งกับมนุษย์หรือไม่ และยังบอกอีกว่า ทีมวิจัยจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมถึงผลกระทบของรังสีกับสัตว์ชนิดอื่นๆต่อไป


http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci2/?cat=10


ตัวอะไร!?





สัตว์หน้าตาประหลาดนี้คือ “หมีน้ำ” อยู่ในภาพที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบชิงชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายวิทยาศาสตร์ของนิตยสารวิทยาศาสตร์ชื่อดัง The Scientist

“หมีน้ำ” (water bear) คือชื่อที่รู้จักกันทั่วไปของ มาโครไบโอตุส ซาเปียนส์ (Macrobiotus sapiens) หรือสัตว์หน้าตาประหลาดที่บันทึกภาพโดยทีม “อายออฟไซน์” (Eye of Science) ที่มีสมาชิกคือ โอลิเวอร์ เมคส์ (Oliver Meckes) ผู้เป็นช่างภาพ และ นิโคล ออตตาวา (Nicole Ottawa) นักชีววิทยา
แม้ชื่อฟังดูใหญ่โตแต่หมีน้ำมีขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตรเสียอีก โดยเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ในน้ำและแหล่งอาศัยครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างไลเคนและตะไคร่น้ำชื้นๆ และข้อมูลจากบีบีซีเนเจอร์ระบุว่าเราพบสิ่งมีชีวิตจิ๋วชนิดนี้ได้ทั้งบนบก ในน้ำจืดและในทะเล และเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนต่ออุณหภูมิติดลบ ไม่สะทกสะท้านต่อลมสุริยะหรือแม้กระทั่งสภาวะสุญญากาศ

http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci2/?cat=10

PCR

PCR คืออะไร

จะผลิต DNA ได้อย่างไร ?

โดยปกติแล้วสิ่งมีชีวิตมีการสังเคราะห์ DNA (DNA Replication) ขึ้นใหม่ในระหว่างที่มีการ แบ่งเซลล์โดย DNA จะแยกออกจากกันเป็นสองสายคล้ายกับการรูดซิบ และพอลินิวคลีโอไทด์แต่ละสายจะ ทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ในการสร้าง DNA สายใหม่ ทำให้ได้ DNA สายใหม่ที่เหมือนกับ DNA โมเลกุลเดิม ทุกประการ

แล้วเราจะสามารถสร้าง DNA ขึ้นมาเองบ้างได้หรือไม่ ?

เราสามารถสร้าง DNA ขึ้นเองได้ภายในหลอดทดลอง (in vitro) โดยไม่ต้องอาศัยเซลล์ของ สิ่งมีชีวิต ด้วยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอชัน หรือพีซีอาร์ (Polymerase Chain Reaction, PCR) ซึ่งเป็นเทคนิค ที่ ใช้ในการเพิ่มปริมาณชิ้นส่วนของ DNA โดยมีการทำปฏิกิริยาอย่างต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทำให้ได้ DNA สายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นล้านเท่า โดยหลักการของพีซีอาร์ก็เป็นการเลียนแบบจากกระบวนการ จำลองตัวเองของ DNA ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง

เทคนิคพีซีอาร์นับเป็นวิธีการง่ายๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาการศึกษาทางด้านพันธุศาสตร์อย่างมาก เลยทีเดียว โดยผู้ที่ค้นพบคือ แครี มุลลิส (Kary Mullis) ซึ่งเค้าได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาเคมี ในปี ค.ศ. 1993 จากการค้นพบเทคนิคพีซีอาร์นี้ หากสนใจประวัติของเค้าก็เข้าที่เวบไซต์ต่อไปนี้ได้เลยค่ะ http://www.karymullis.com/

เราจะต้องอาศัยสิ่งใดบ้างจึงจะสามารถสร้าง DNA ได้ ?

การทำพีซีอาร์อาศัยสิ่งต่อไปนี้ในการทำปฏิกิริยา

อย่างแรก...ที่ขาดไม่ได้คือชิ้นส่วนของ DNA ที่เราต้องการจำลองนั่นเองคะ เรียกว่า DNA แม่แบบ (DNA Template)ซึ่งข้อดีของเทคนิคพีซีอาร์นี้คือใช้ตัวอย่าง DNA ที่สกัดจากตัวอย่าง เช่น เลือด เนื้อเยื่อ เพียงเล็กน้อย (ประมาณ 5 ไมดครลิตร) ก็สามารถนำมาเพิ่มจำนวนได้มากมายแล้ว

ส่วนต่อมา...ที่จำเป็นในการสังเคราะห์ DNA คือ เอนไซม์ DNA polymerase ซึ่งจะใช้ชนิดพิเศษ ที่สามารถทนความร้อนได้สูง นั่นคือ Taq polymerase โดยสกัดมาจากแบคทีเรีย (Thermus aquaticus) ที่สามารถทนความร้อนได้ดีและอาศัยในน้ำพุร้อน

ทำไมจึงต้องเลือกใช้เอนไซม์ที่สามารถทนความร้อนสูง ๆ ได้ด้วยนะ ?

ไพรเมอร์ (DNA primer) เป็น DNA สายสั้น ๆ ที่มีลำดับเบสเป็นคู่สม (complementary) กับ DNA แม่แบบ ซึ่งจะเข้าคู่กับด้าน 3' ของ DNA แม่แบบ โดยไพรเมอร์ทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นในการ สังเคราะห์ DNA สายใหม่ ก่อนที่จะเริ่มทำพีซีอาร์ได้นั้น เราต้องทราบลำดับนิวคลีโอไทด์ของ DNA แม่แบบบริเวณช่วงปลายของส่วนที่เราต้องการเพิ่มจำนวนก่อน เพื่อนำมาสังเคราะห์ไพรเมอร์

 

นิวคลีโอไทด์ (Deoxynucleotide triphosphates, dNTPs) ทั้ง 4 ชนิด (A T C และ G) เพื่อที่จะ นำไปใช้ในการสังเคราะห์สาย DNAสารทั้งหมดนี้จะละลายอยุ่ในสารละลายบัฟเฟอร์ เพื่อ ควบคุมให้เกิดภาวะที่ เหมาะสมในการทำปฏิกิริยา ภายในหลอดทดลองขนาดเล็ก (ปริมาตร 200-500 ไมโครลิตร)

            จากนั้นนำหลอดส่วนผสมไปใส่ในเครื่องเทอร์มอไซเคลอร์ (thermocycler หรือ PCR machine) ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ตามขึ้นตอนที่ตั้งไว้

เครื่องเทอร์มอไซเคลอร์

ขั้นตอนปฏิกิริยา PCR มี 3 ขั้นตอน ดังนี้

         1. denaturing เป็นการทำให้ DNA เสื่อมสภาพ เพื่อที่จะแยกสาย DNA จากสภาพที่เป็นเกลียวคู่ (double helix) ให้เป็นสายเดี่ยว โดยใช้อุณหภูมิสูงประมาณ 95 องศาเซลเซียส เวลา 30 วินาที ดังนั้นเราจึง ต้องเลือกใช้เอนไซม์ DNA polymerase ที่สามารถทนความร้อนได้สูง เพื่อไม่ให้เอนไซม์เสื่อสภาพไปก่อน

         2 . annealing เป็นขั้นตอนที่ลดอุณหภูมิลงประมาณ 55 องศาเซลเซียส เวลา 20 วินาที เพื่อให้ ้ไพรเมอร์สามารถจับกับ DNA แม่แบบได้

         3. extension เป็นขั้นตอนการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ โดยจะสังเคราะห์จากด้าน 5' ของไพรเมอร์ ไปยังด้าน 3' ไปเรื่อยๆ ตามลำดับนิวคลีโอไทด์บน DNA แม่แบบแต่ละสาย โดยอาศัยการทำงานของ Taq polymerase ที่อุณหภูมิประมาณ 72 องศาเซลเซียสเวลา 20 วินาที ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่แบคทีเรียที่ใช้ในการ สกัดเอนไซม์เติบโต

         จากนั้นจะเริ่มขึ้นตอนแรกใหม่หมุนเวียนต่อกันไปหลายๆ รอบ โดยปฏิกิริยา PCR 25-40 รอบจะใช้ ้เวลาประมาณ 1.5 -5 ชั่วFดมง หลังจากทำปฏิกิริยาจะได้สาย DNA สายใหม่จำนวนมากที่ถูกกำหนดตามขนาด ของระยะห่างของไพรเมอร์ทั้งสองสายที่จับกับ DNA แม่แบบ จากนั้นนำผลิตภัณฑ์พีซีอาร์ไปตรวจสอบด้วย agarose gel electrophoresis
 

 
 

ผลิตภัณฑ์พีซีอาร์ และ DNA ladder ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของ DNA ที่ทราบขนาด

            ในปัจจุบันเทคนิคพีซีอาร์ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในด้านการแพทย์ เช่น ใช้ในการตรวจสอบโรค ด้านพันธุวิศวกรรม ใช้ในการเพิ่มปริมาณยีนเพื่อที่จะนำมาศึกษาและการหาลำดับนิวคลีโอไทด์

เอกสารอ้างอิง

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2548. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและเพิ่มเติมชีววิทยา เล่ม 5 กลุ่ม

         สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. 255 หน้า

ประดิษฐ์ พงศ์ทองคำ. 2543. พันธุศาสตร์. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ. 398 หน้า

Leland H. Hartwell, et. al. 2000. Genetics From Genes to Genomes. The McGraw-Hill Companies,

         United State of Amarica. 820 p
Robert H. Tamarin. 2002. Principles of Genetics 7th. The McGraw-Hill Companies, United State of
         Amarica. 684 p
Polymerase Chain Reaction - Xeroxing DNA (1992). Online. (Available):

        
http://biology.ipst.ac.th/index.php/aticle-2550/281-what-is-pcr.html

8.29.2555

น่ารู้เกี่ยวกับ "การโคลนนิ่ง"

โคลนนิ่งมนุษย์ผิดจริยธรรม?

ประเด็นจริยธรรม
ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์ ที่เกิดขึ้นก่อนสิ้นปี 2545 นี้คือเรื่องการคลอดของทารก Eve ซึ่งองค์การลัทธิไลเลียน (Raelien Sect) ซึ่งอ้างว่าตนเป็นศาสนาใหม่ที่มีความเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวได้ใช้วิธีการโคลนมนุษย์ชุดชุดแรกไว้ในโลกเมื่อ สองหมื่นห้าพันปีก่อนและมีความเชื่อว่าการโคลนมนุษย์เป็นวิธีการหนึ่งที่จะนำ ให้เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติได้เข้าถึงความเป็นอมตะได้ในที่สุด ผู้นำ ลัทธินี้ได้อ้างว่าได้ทำ การโคลนมนุษย์ให้แก่คู่ครองจำนวน 10 คู่ ซึ่งต่อมาครึ่งหนึ่งของจำ นวนนี้กำ ลังจะให้กำ เนิดทารก ซึ่งทารกที่เกิดจากการโคลนคนแรกของโลกได้เกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคมโดยมีแม่เป็นสตรีชาวอเมริกัน และต่อมาในวันที่ 5 มกราคม ทารกคนที่สองซึ่งเกิดจากเทคนิดเดียวกันลืมตามองดูโลกขึ้นเป็นครั้งแรก และต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้จะมีคุณแม่อีกหลายคนที่จะให้กำ เนิดทารกที่เกิดจากการโคลน

         แม้ว่าทางองค์การ Cloneaid ได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงสองครั้งแล้วก็ตามแต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีองค์การใดที่จะเข้ามาตรวจสอบDNA ของทั้งมารดาและทารกทั้งสองคู่นี้ เพื่อยืนยันหรือปฏิเสธว่าทารกทัง้ คมู่ กี าํ เนดิ จากเทคนคิ ทางการโคลนมนุษย์ดังที่องค์การ Cloneaid ได้
อ้างไว้

         อันที่จริงเทคนิคการโคลนเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้นมิใช่ของใหม่ ได้มีการพัฒนาการโคลนเซลล์ของพืชมากกว่า 30 ปีมาแล้วและได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างกว้างขวาง ส่วนการนำเทคนิคนี้มาใช้ในสัตว์ที่มีวิวัฒนาการสูง เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนํ้านมนั้นเป็นข่าวใหญ่ในเดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2540 เมื่อสถาบันโรสลิน (Roslin Institute) แห่งนครเอดินเบอร์ก แคว้นสก๊อตแลนด์ได้ประกาศการโคลนแกะดอลลี่ (Dolly the Sheep) ความเป็นไปได้ของการโคลนมนุษย์ดูจะมีความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ ผลลัพธ์จากการโคลนแกะดอลลี่นี้ส่งผลให้ประเทศมหาอำ นาจในยุโรป และองค์การทางศาสนาหลายแห่ง รวมทั้งองค์การสหประชาชาติได้ประณามและออกกฎเกณฑ์ห้ามการนำ เทคนิคนี้มาใช้ในมนุษย์อย่างเด็ดขาด ต้นเหตุสำคัญของข้อถกเถียงในเรื่องการออกกฎหมายห้ามการโคลนมนุษย์ในลักษณะนี้ มีต้นกำเนิดจากความเข้าในในเทคนิคการโคลนเมื่อมองจากทัศนะของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ กัน นักบวชและนักการศาสนา
           นับตั้งแต่การเกิดการโคลนแกะดอลลี่ได้สำ เร็จ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการโคลนมนุษย์นั้นมีความเป็นไปได้สูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้นั้นไม่แตกต่างกันมากนัก อีกทั้งยังไม่ต้องการเครื่องมือที่ซับซ้อนหรือการใช้งบประมาณสูง อีกทั้งกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หัวก้าวหน้าจำ นวนหนึ่งเกิดความรู้สึกท้าทายว่าใครจะเป็นคนแรกที่ทำ การโคลนมนุษย์ได้สำเร็จ

           สันตะปาปาจอห์นปอลล์ที่สอง ได้ออกแถลงการณ์ประณามการโคลนนิงมนุษย์และได้ทรงเป็นผู้นำ ทางศาสนาโลกคนแรกที่โจมตีการโคลนนิงมนุษย์ตั้งแต่ต้น นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดี จอร์จ ดับบลิว บุช ก็ได้ปราศรัยแสดงความไม่เห็นด้วยในการโคลนนิงมนุษย์อีกเช่นกัน แม้กระทั่ง มาตราที่ 11 แห่ง ปฎิญญาสากลว่าด้วยการทดลองว่าด้วย รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศห้ามการโคลนมนุษย์ด้วยเช่นกัน กระนั้นประเทศมหาอำนาจหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกา ก็มิได้มีการออกกฎหมายห้ามการโคลนนิ่งมนุษย์อย่างเด็ดขาดเหมือนประเทศในทวีปยุโรปอีกหลายประเทศผู้นำ ศาสนาอีกหลายศาสนาได้แสดงความไม่เห็นด้วยในเรื่อง

           โคลนนิ่งนี้อย่างเปิดเผย ด้วยเหตุผลสำ คัญคือมนุษย์ได้ล่วงละเมิดเข้าไปในดินแดนของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ผลกระทบประการแรกนับจากที่ได้มีการประกาศว่าทารก Eve เด็กหญิงคนแรกที่เกิดจากการโคลนนิ่งได้ลืมตาดูโลกแล้ว โดยเกิดจากการสร้างทารกจากรหัสพันธุกรรมของมารดา เพราะความจำ เป็นที่ทั้งสามีของนางเป็นหมันและทั้งคู่ต้องการมีบุตรอย่างมาก สำ นักวาติกันได้ออกประกาศประณามการการโคลนนิ่งในครั้งนี้อีก ว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบในชีวิตมนุษย์ เหตุผลอีกประการหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งคือการโคลนนิ่งมนุษย์นั้นยังเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะทดลองในมนุษย์ได้ ดังเช่นตัวอย่างของแกะดอลลีซึ่งเมื่ออายุได้เพียงห้าปีก็มีอาการป่วยข้ออักเสบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแกะตัวนี้มีอายุทางชีวภาพที่แก่กว่าแกะที่เกิดจากวิธีปฏิสนธิทางธรรมชาตกิ วา่ 5 ป ี สว่ นนักวทิ ยาศาสตรก์ ลมุ่ ใหญอี่กกลุ่มยังไม่ยอมรับว่า
Cloneaid โคลนทารกเหล่านี้จริงตามคำ กล่าวอ้างเนื่องยังไม่มีรายงานยืนยันจากแหล่งข่าวอิสระ หรือสถาบันวิจัยทางการแพทย์ที่เป็นอิสระแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นผู้รับรอง ชื่อสกุลและที่อยู่ของสามีภรรยาคู่นี้พร้อมกับทารกทาง Cloneaid ยังคงปิดเป็นความลับ

           ผู้ที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมมักประณามการโคลนมนุษย์ว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการเกิดขึ้นของชีวิตที่ผิดธรรมชาติ คือ ไม่มีการปฏิสนธิของตัวอสุจิและไข่ที่สุกแล้ว ชีวิตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมนั้นเป็นชีวิตที่ล้วนได้ผ่านกระบวนการปฏิสนธิทั้งสิ้น การเกิดของดอลลีและสัตว์ที่ถูกโคลนนิ่งเหล่านี้จึงเท่ากับเป็นการฝืนธรรมชาติอย่างมาก แต่หากมองอีกแง่หนึ่งความสำ เร็จของเทคโนโลยีนี้ได้เปลี่ยนแปลงความ
เชื่อของมนุษย์ในศาสนาเทวนิยมไปอย่างมาก เพราะเท่ากับเป็นการปฏิเสธบทบาทของพระผู้เป็นเจ้าในการบัญชาการเกิดของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิให้เข้าสู่ครรภ์มารดา เมื่อตัวอสุจิและไข่มีการปฏิสนธิ
นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนการโคลนนิ่งได้วิจารณ์การใช้เหตุผลนี้ว่าเป็นเหตุผลดั้งเดิมที่เคยยกขึ้นมาแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนของพวกเคร่งคัมภีร์ทั้งหลาย เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคนิคการผสมเทียมเด็กหลอดแก้วได้สำ เร็จ และเทคนิคนี้ในปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ทั่วโลก และใช้ในการแก้ไขปัญหาการมีบุตรยากของสามีภรรยานับแสนคู่ทั่วโลกในปัจจุบัน หรือเมื่อนายแพทย์คริสเตียนเบอร์นาร์ด ชาวอัฟริกาใต้ได้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมนุษย์ได้สำ เร็จ ก็พบกับคำ วิจารณ์ของพวกเคร่งคัมภีร์และสื่อมวลชนในรัสเซียในยุคสงครามเย็นเช่นกัน ดูจะเป็นธรรมดาที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทุกครั้งจะได้รับการวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสถาบันทางสังคมหลายฝ่ายกว่าจะเป็นที่ยอมรับ


อ้างอิง
•fercit.org/Newsletter/news3_1.pdf•www.bu.ac.th/knowledgecenter/epaper/jan_june2005/daungdown.pdf

การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต

ความหลากหลายทางชีวภาพ ( Biological Diversity )

หมายถึง การมีชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมาอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่หนึ่งหรือระบบนิเวศใดระบบนิเวศหนึ่งซึ่งสามารถจัดแบ่งความหลากหลายทางชีวภาพ ได้เป็น3 ลักษณะ คือ

1.ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ ( species diversity ) หมายถึงความหลากหลายของชนิดของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในพื้นที่หนึ่งๆนักชีววิทยาวัดความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต โดยดูจาก 2 ลักษณะ คือ

              1.1. ความมากชนิด (species richness) หมายถึง จำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยเนื้อที่ เช่น ประเทศเมืองหนาวในพื้นที่หนึ่งๆมีต้นไม้อยู่ประมาณ 1 – 5 ชนิด ขณะที่ป่าในประเทศเขตร้อนในพื้นที่เท่ากันมีต้นไม้นับร้อยชนิด เป็นต้น



             1.2. ความสม่ำเสมอของชนิด (species eveness) หมายถึง สัดส่วนของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศหนึ่ง ๆดังนั้นความหลากหลายทางชนิดพันธุ์จึงสามารถวัดได้จากจำนวนของสิ่งมีชีวิตและจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดรวมถึงโครงสร้างของอายุและเพศของประชากรด้วยความหลากหลายของชนิดพันธุ์จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่พื้นที่ที่อยู่ในเขตร้อน(tropics) และในทะเลลึกจะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สูงและความหลากหลายของชนิดจะลดลงในพื้นที่ที่มีความผันแปรของอากาศสูง เช่นในทะเลทรายหรือขั้วโลก หรืออาจกล่าวได้ว่าในบริเวณเขตร้อนในแถบละติจูดต่ำ(low lattitude) ใกล้เส้นศูนย์สูตรจะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สูงและจะลดลงเมื่ออยู่ในแถบละติจูดสูง (high lattitude)
     
 2.ในระบบนิเวศหนึ่งๆ จะประกอบด้วยกลุ่มสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด แม้ในสิ่งมีชีวิตเดียวกันก็ยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดสายพันธุ์ต่างๆ อันเป็นรากฐานสำคัญที่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้สืบไปความหลากหลายของพันธุกรรม ( genetic diversity ) หมายถึงความหลากหลายของหน่วยพันธุกรรมหรือยีน(genes) ที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาจมียีนแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์เช่น ข้าวซึ่งมีสายพันธุ์มากมายหลายพันชนิด เป็นต้น
 
                                  

ความแตกต่างผันแปรทางพันธุกรรมในแต่ละหน่วยชีวิตมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม (mutation)อาจเกิดขึ้นในระดับยีน หรือในระดับโครโมโซมผสมผสานกับการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติได้น้อยมาก และเมื่อลักษณะดังกล่าวถูกถ่ายทอดไปยังรุ่นลูก จะทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม เช่นแมว
ที่มีลักษณะรูปร่างหลากหลายที่แตกต่างกัน เป็นต้น

     
  3.ความหลากหลายของระบบนิเวศ ( ecolosystem diversity ) หมายถึง สภาวะแวดล้อมที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆรวมไปถึงสิ่งไม่มีชีวิตอื่น ๆ   ซึ่งจัดเป็นปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้น ดิน น้ำเป็นต้นระบบนิเวศแต่ละระบบเป็นแหล่งของถิ่นที่อยู่อาศัย(habitat)ของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆซึ่งมีปัจจัยทางกายภาพและชีวภาพที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในระบบนิเวศนั้นสิ่งมีชีวิตบางชนิดมีวิวัฒนาการมาในทิศทางที่สามารถปรับตัวให้อยู่ได้ในระบบนิเวศที่หลากหลายแต่บางชนิดก็อยู่ได้เพียงระบบนิเวศที่มีภาวะเฉพาะเจาะจงเท่านั้นความหลากหลายของระบบนิเวศขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศ


                                                      
                                                    


8.28.2555

ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน

กาลาปากอส บ่อเกิดแห่ง “ทฤษฎีวิวัฒนาการ และการคัดเลือกตามธรรมชาติ"

 ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เกิดเมื่อ 12  กุมภาพันธ์  ค.ศ. 1809 ที่เมืองชรูว์ส์เบอรี (Shrewsbury) ประเทศอังกฤษ ในครอบครัวที่ถือว่าร่ำรวยทีเดียว เพราะมีพ่อเป็นถึงนายแพทย์  มีคลีนิกใหญ่ตั้งอยู่นอกเมืองลอนดอน ทางฟากของแม่ก็มาจากครอบครัวของคหบดีเจ้าของโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผา ดาร์วินจึงเติบโตมาอย่างสุขสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่ และเป็นธรรมดาของครอบครัวมีอันจะกิน ดาร์วิน จึงได้รับการศึกษาอย่างดี

        เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ได้ เข้าเรียนแพทย์ ในมหาวิทยาลัยเมืองเอดินเบอร์ก(Edinburg University) ตามรอยพ่อและปู่ แต่ด้วยความที่ไม่ชอบเมื่อขึ้นปีที่ 2 จึงได้เปลี่ยนไปเรียนต่อทางด้าน “เทววิทยา (Theology)” ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แทน พร้อมกันนั้นก็ได้ศึกษาทั้งวิชาชีววิทยา ธรณีวิทยา และฟอสสิส ไปด้วย กับศาสตราจารย์ 2 ท่าน คือศาสตราจารย์จอห์น เฮนสโลว์ (John Henslow) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤษฏศาสตร์ และศาสตราจารย์อดัม เซดจ์วิค (Adam Sedgwick) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา ที่คอยพาดาร์วิน ออกสำรวจตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ นอกจากนี้ ดาร์วินยังเป็นนักอ่านตัวยง เขาอ่านหนังสือของของนักวิวัฒนาการในยุคปลายศตวรรษที่ 18 เป็นจำนวนมาก

        หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี 1831 ดาร์วินรู้ตัวเองว่า เขาต้องการเป็นนักชีววิทยามากกว่าที่จะเป็นนักการศาสนาตามที่ได้ร่ำเรียนมา ทำให้เขาต้องการที่จะได้ออกเดินทางท่องโลกเพื่อศึกษาวิทยาศาสตร์ และด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน จอห์น เฮนสโลว์ช่วยให้ ดาร์วินได้ร่วมทีมสำรวจแห่งราชนาวีอังกฤษเพื่อการร่างแผนที่โลก ในฐานะนักธรรมชาติวิทยา

       กัปตัน โรเบิร์ต ฟิทซ์รอย (Robert FitzRoy)  พร้อมลูกเรืออีก 74 ชีวิต และดาร์วิน เดินทางออกจากอังกฤษในเดือน ธ.ค. 2374   ระหว่างการเดินทางผ่านภูมิประเทศต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่สำรวจชายฝั่งอเมริกาใต้เป็นหลัก แม้จะต้องเผชิญคลื่นลมแรง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและยากลพบาก ดาร์วินก็อดทนและสนใจจดบันทึกเรื่องราวความแปลกใหม่ทางธรรมชาติที่ได้พบเจอ และศึกษาตำราเกี่ยวกับชีวะวิทยาอยู่ตลอดเวลา


ภาพ Charles Darwin – that young explorer of  the ship HMS Beagle
ที่มา nayagam.wordpress.com


        4 ปีต่อมาหลังจากออกเดินทาง ในวันที่ 16 กันยาย ในปี 2378  ดาร์วินด้วยวัยเพียง 26 ปี ก็ก้าวขาลงจากเรือหลวงบีเกิล (HMS Beagle) เพื่อขึ้นสู่ หมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos Islands) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ตั้งอยู่ 600 ไมล์ (970 กิโลเมตร) ไปทางทิศตะวันตกของชายฝั่งประเทศเอกวาดอร์ ห่างออกไปประมาณ 970 กิโลเมตร อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยมากมาย เกิดจากภูเขาไฟขนาดยักษ์ มีอายุนับล้านปี บางปล่องก็เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว บาปล่องก็ยังปะทุบ้างเป็นครั้งคราว




ภาพ Map of the Galapagos
ที่มา pictures.solardestinations.com

       กาลาปากอส มาจากคำว่า galapago ซึ่งเป็นภาษาสเปนหมายถึง เต่าบก (tortoise) ซึ่งก็คือสัตว์ที่พบห็นได้มากบนเกาะนี้ หมูเกาะกาลาปากอสมีเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะเรียงรายกันในมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วยเกาะหลักๆ 13 เกาะได้แก่ เกาะเฟอร์นาดินา (Fernandina Island), เกาะอิซาเบลา (Isabela Island), เกาะพินซอน (Pinzón Island), เกาะซานติเอโก (Santiago Island), เกาะราบิดา (Rábida Island), เกาะซานตาครูซ (Santa Cruz Island), เกาะซานตาเฟ (Santa Fe Island), เกาะฟลอเรียนา (Floreana Island), เกาะเอสปาโนลา (Española Island), เกาะซานคริสโตบัล (San Cristóbal Island), เกาะเจโนเวซา (Genovesa Island), เกาะมาร์เคนา (Marchena Island), เกาะพินตา (Pinta Island)

       เกาะกาลาปากอสนั้นมีสภาพโดยทั่วไปแห้งแล้งและกันดาร เป็นที่ที่กระแสน้ำเย็นไหลมาพบกับกระแสน้ำอุ่น จึงทำให้สามารถพบสิ่งมีชีวิตได้ทั้งประเภทที่ชอบน้ำเย็น เช่น สิงโตทะเลและเพ็นกวิน รวมทั้งสัตว์ที่ชอบน้ำอุ่นก็หาได้บนเกาะนี้อีกเช่นกัน ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมพันธุ์พืชและสัตว์จำนวนมากหลากหลายสปีชีส์  มีสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตแปลกๆ แทบจะไม่สามารถพบได้ที่ไหนในโลก ทั้งแบบที่เชื่องน่ารัก และมองดูดร้ายน่ากลัว  อาทิ เต่ากระดอง (Galapagos Tortoise) ที่มีน้ำหนักมากถึง 200-500 ปอนด์  กิ่งก่า (iguana) สิงโตทะเล (Galapagos Sea-lion)นกนานาชนิด โดยเฉพาะนกฟินซ์


ภาพ Giant Galapagos tortoises
ที่มา progresoverde.org
 ภาพ Galapagos Marine Iguana
ที่มา worldtimezone.com

        ความ “พิเศษ” ของสิ่งมีชีวิตที่กาลาปากลอสทำให้ ดาร์วินรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็น ดาร์วินพบว่ามีนกสปีชีส์เดียวกันแม้ว่ามันจะมีต้นกำเนิดจากแหล่งเดียวกันก็ตาม แต่มันกลับมีลักษณะที่แตกต่างกันไปเล็กน้อย นกฟินช์(finch) ชนิดหนึ่งบนกาลาปากอส ที่ดาร์วินเคยสนใจศึกษาเป็นพิเศษ เขาได้แบ่งว่าเจ้านกชนิดนี้มีความแตกต่างกันไปในแต่ละเกาะถึง 13 แบบ ซึ่งสิ่งที่ทำให้พวกมันแตกต่างกันนั้น ก็ผันแปรไปตามสิ่งแวดล้อมบริเวณที่นกพวกนั้นอาศัยอยู่ อย่างรูปทรงของจงอยปากที่แตกต่างกันในนกสปีชีส์เดียวกัน ที่เป็นผลมาจากเมล็ดพืช ที่เป็นอาหารของนกที่อยู่บนแต่ละเกาะ



ภาพ Finches from the Galapagos
ที่มา www.dls.ym.edu.tw

       ดาร์วินจึงได้ข้อสรุปซึ่งนับเป็นการนำไปสู่การอธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการ ว่า ในอดีตกาลเมื่อบรรพบุรุษของนกได้มาจากทวีปอเมริกาใต้ แล้วมาแพร่พันธ์ยังเกาะต่างๆของหมู่เกาะกาลาปากอส ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน นกชนิดใดที่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมได้ มันก็จะอยู่รอด สามารถแพร่พันธุ์ต่อไปได้ มันจะค่อยเกิดกลายกลายพันธุ์จากรุ่นสู่รุ่นอย่างช้าๆ แบบที่เรียกว่า“กลายพันธุ์” และเมื่อการกลายพันธุ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยั่งยืนมันก็จะกลายเป็นวิวัฒนาการที่เรียกว่า “การปรับตัวสืบทอด (descent with modification)” ส่วนตัวใดที่ไม่สามารถปรับตัวได้ มันก็จะค่อยๆหายไป และสูญพันธุ์ลงในที่สุด ซึ่งกลไกที่คอยคัดสรรว่าสัตว์ใดจะอยู่ สัตว์ใดจะไป นั้นก็คือสิ่งที่ดาร์วินเรียกว่า “การคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection)” นั่นเอง

       ความแตกต่างได้แฝงตัวอยู่ในสิ่งมีชีวิต ทำให้พวกมันสามารถปรับตัวและแพร่พันธุ์สืบทอดสู่รุ่นต่อๆไป ซึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีความแตกต่างกันก็คือ สภาพแวดล้อมที่ต่างกันนั่นเอง  หรือที่จะกล่าวว่า "สภาพแวดล้อมไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิดการผันแปรของสิ่งมีชีวิต หากแต่ความผันแปรเหล่านั้นมีอยู่ในทุกชีวิตอยู่แล้ว ธรรมชาติจึงทำหน้าที่เป็นเพียงผู้คัดสรร"

       ดาร์วินได้ใช้เวลาเพื่อรวบรวมหลักฐานต่างๆและศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการที่เขาค้นพบยาวนานถึง 20 ปีต่อมาในอังกฤษ จนกระทั่งได้เสนอแนวคิดทฤษฎี “วิวัฒนาการ” ออกมาเป็นหนังสือที่มีชื่อว่า "On the Origin of the Species" ตีพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1859 เพื่อเผยแพร่ออกสู่แวดวงวิชาการของประเทศยุโรปและอเมริกา เนื้อหาในเล่มได้อธิบายถึงเเนวคิดที่เกี่ยวของกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และการคัดสรรโดยธรรมชาติว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตหนึ่งจึงอยู่รอด แต่อีกชนิดกลับสูญพันธ์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงผลจากสิ่งแวดล้อมว่ามีอิทธิพลทำให้สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องปรับสภาพเปลี่ยนแปลง โครงสร้าง ทางร่างกายและพฤติกรรมจากรูปแบบหนึ่งมาสู่รูปแบบหนึ่งในระยะเวลาอันยาวนาน เพื่อให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตในธรรมชาติ ตามที่ดาร์วินเรียกว่า "การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection)"  นี่ถ้าดาร์วินมีอายุยืนยาวพออีกสักศตวรรษ เขาก็จะได้รู้จักกับดีเอ็นเอ สิ่งที่จะเฉลยเรื่องราวเหล่านี้ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น


ภาพ On the Origin of Species
ที่มา scienceblogs.com

        และหนังสืออีกเล่มที่โด่งดังไม่แพ้กันก็คือ " The Descent of Man " ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2414 ในเล่มนี้ดาร์วินได้นำทฤษฎีวิวัฒนาการมาใช้อธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์และลิงไม่มีหาง (ape) มีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน นั้นคือมนุษย์เป็นเพียงสัตว์สปีชีส์หนึ่งเท่านั้น หาใช่สิ่งมีชีวิตอันพิเศษที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า



ภาพ the descent of man
ที่มา knowfree.net

       และแน่นอนว่าแม้ทฤษฎีนี้จะพลิกมุมคิดวงการชีวะวิทยาอย่างมาก แต่ในยุคนั้นมันช่างขัดกับความเชื่อและศรัทธาของผู้คนส่วนใหญ่ ที่เชื่อกันว่า “พระเจ้าคือผู้สร้างนกทั้ง 13 ชนิดให้แตกต่างกัน ไม่กี่ยวกับเรื่องของวิวัฒนาการใดๆเลยที่จะที่ทำให้จงอยปากของพวกนกหล่านั้นแตกต่างกัน” จึงไม่แปลกที่แนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการ และการคัดเลือกตามธรรมชาติของดาร์วินจะถูกต่อต้านอย่างหนักว่าเป็นความคิดนอกรีต แต่ในวันนี้เมื่อวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ทฤษฎีของดาร์วินแล้ว เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งทฤษฎีของวิวัฒนาการ

       หมู่เกาะกาลาปากอส ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี พ.ศ. 2521 ด้วยจุดเด่นคือ ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่แปลกตาและสวยงามมากมาย มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นสปีชีส์ที่หากใครอยากเจอต้องมาที่หมู่เกาะกาลาปากอสเท่านั้น เช่น


ภาพ blue-footed booby, Galapagos
ที่มา www.birdsasart.com


ภาพ Galapagos Sea-lion with Bonita-Mackerel, Galapagos
ที่มา www.birdsasart.com

       นอกจากนี้บนเกาะยังมีทะเลสาบที่ชื่อดาร์วินเพื่อระลึกถึง ชาร์ล ดาร์วิน และมีสถานีวิจัยและอนุรักษ์เต่าและอีกัวน่า ซึ่งอีกัวนาที่หมู่เกาะกาลาปากอสนี้มีความหลากหลายมาก โดยหลักๆ แบ่งเป็นอีกัวนาบก และอีกัวนาทะเล

       แต่ปัจจุบันกาลาปากอสกำลังถูกคุกคาม สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างหนักจากการบุกรุกของมนุษย์นั้นเองโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว แม้ซีดีเอฟและอุทยานแห่งชาติกาลาปากอส (Galapagos National Park) จะพยายามจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่ในที่สุด เมื่อเดือน มิ.ย. 2550 ยูเนสโกได้ประกาศ ขึ้นบัญชีหมู่เกาะกาลาปากอสให้เป็นมรดกโลกที่กำลังถูกคุกคาม  


ภาพ Galapagos Islands tour
ที่มา travelwizard.com

        แม้การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตจะทำให้พวกมันถูกธรรมชาติคัดสรรค์ให้อยู่รอดได้ แต่ดูเหมือนเมื่อต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากมนุษย์ การปรับตัวตามธรรมชาติคงไม่อาจทำให้พวกมัดอยู่รอดไดhfuเท่าไหร่นัก หรือมนุษย์นอกจากจะครองโลกแล้วยังจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่จะอยู่บนโลกนี้

ที่มาของข้อมูล  http://www.vcharkarn.com/varticle/39371

วิวัฒนาการของมนุษย์

          วิวัฒนาการ ในความหมายทั่วไป หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง  ในลักษณะจองการค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขึ้นโดยอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน  วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน  ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมอันเป็นผลจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม  ดอบซานสกี (Dobzhansky)  นักพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการชาวรัสเซีย ได้กล่าวไว้ดังนี้  “วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต  คือกระบวนการเปลี่ยนแปลง
ส่วนประกอบของพันธุกรรมของประชากรที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน  โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดอันเป็นผล มาจากปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม  กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีกาย้อนกลับเป็นอย่างเดิมอีก”




วิวัฒนาการของมนุษย์(evolution)

             เมื่อประมาณ 20 ล้านปีที่ผ่านมา  เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม  โดยมีทุ้งหญ้าขึ้นมาทดแทนป่าที่อุดมสมบูรณ์   ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายชนิด  มีวิวัฒนาการมาดำรงชีวิตบนพื้นดินมากขึ้น  จากหลักการซากดึกดำบรรพ์และการเปรีบยเทียบลำดับเบสบน DNA ระหว่างมนุษย์และชิมแปนซี  พบว่ามนุษย์แยกสายวิวัฒนาการจากลิงไม่มีหางเมื่อประมาณ 7-5 ล้านปีที่ผ่านมา                                                                                                                              
          ตามการจำแนกแบบอนุกรมวิธาน นักชีววิทยาได้จัดให้มนุษย์อยู่ในหมวดหมู่ต่อไปนี้
 Kingdom           Animalia
 Phylum  Chordata 
 Class  Mammalia 
 Order  Primate 
 Family  Hominidae 
 Genus  Homo 
 Spicies  Homo  sapiens 

           
            จากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์  นักบรรพชีวินได้คาดคะเนลำดับขั้นตอนการสืบสายวิวัฒนาการของมนุษย์ได้  ดังนี้




           ออร์เดอร์ ไพรเมต (Primate)เป็นออร์เดอร์หนึ่งในจำนวนทั้งหมด 17 ออร์เดอร์ในคลาสแมมมาเลียการจำแนกสัตว์อยู่ในออร์เดอร์นี้ขึ้นอยู่กับลักษณะหลายๆลักษณะมารวมกันซึ่งเป็นลักษณะที่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการของสัตว์พวกนี้ในการอาศัยอยู่บนต้นไม้ ทำให้มีลักษณะมือขาและการใช้ประสาทรับความรู้สึกต่างๆให้เข้ากับการดำรงชีวิตในสิ่งเเวดล้อมดังกล่าวแต่มีวิวัฒนาการของบางลักษณะที่เป็นผลจากวิวัฒนาการในช่วงหลังๆที่เป็นไปเพื่อการดำรงชีวิตอยูบนพื้นดิน  ลักษณะของออร์เดอร์ไพรเมต คือมีนิ้ว 5 นิ้ว ปลายนิ้วมีเล็บแบน นิ้วยาว นิ้วหัวแม่มือพับขวางกับนิ้วอื่นได้ดี สมองใหญ่ จมูกสั้น ตาชิดกัน (ทำให้สามารถมองภาพจากสองตามาซ้อนกันเกิดเป็นภาพสามมิติซึ่งดีต่อการดำรงชีวิตอยู่บนต้นไม้)ขากรรไกรห้อยต่ำในออร์เดอร์ไพรเมตมีสมาชิกทั้งหมด 180 สปีชีส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก ได้เเก่ มนุษย์ ลิงลม ลิงทาเซียร์ ลิงแสม ลิงมาโมเซต กอริลลา ชิมแพนซี และอุรังอุตัง

            ลักษณะสำคัญของแฟมิลีโฮมินิดี(Hominidae) คือมีเขี้ยวเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับฟันอื่นๆ เดิน 2 ขา เนื่องจากเปลี่ยนวิถีชีวิตจากบนต้นไม้มาสู่พื้นดิน แต่ก่อนเคยคิดว่าประกอบด้วย  จีนัสคือ รามาพิเทคัส
  มนุษย์วานร มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก สูงประมาณ1 - 1.5 เมตร และหนักประมาณ 68 กิโลกรัม มีโครงกระดูกที่แข็งแรง และรูปแบบของฟันคล้ายมนุษย์ในปัจจุบัน บริเวณลำคัว อาจไมีมีขน ขณะวิ่งลำตัวจะตั้งตรง อยู่กันเป็นกลุ่ม20-30 คน สามารถใช้หินหรือ เครื่องมือง่ายๆ เช่น กระดูกบสัตว์ สำหรับล่าสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นอาหารได้ นักวิทยาศาสตร ์ได้ ้ขุดพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ พวกนี้ที่บริเวณตอนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกา จึงให้ชื่อว่า Australpithecus africanus ต่อมาจึงพบมนุษย์วานรพวกนี้อีก มีรูปร่างและขนาดใหญ่กว่าA.africanus จึงเรียกว่า A.robustus มนุษย์วานรชนิดนี้มีขากรรไกรขนาดใหญ่เทอะทะแสดงให้เห็นว่ากินพืชเป็นอาหาร จนกระทั่ง ค.ศ.1947Donald   Joanson ก็ได้ค้นพบมนุษย์วานรพวกนี้อีกชนิดหนึ่งบริเวณทางตินเหนือของประเทศเอธิโอเปีย
มีชื่อเรียกว่า A.afarensis ซึ่งถือว่ามี ความใกล้ชิดกับบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันมาก  Genus Homoเป็นไพรเมตที่สามารถประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตได้แล้วถือว่าเป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุด ได้แก่ มนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งมีสายวิวัฒนาการมาจากวานร แล้วเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ ดังนี้

                1)Homo habilis เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมุษย์ ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ชนิดนี้ที่บริเวณภาค ตะวันออกของแอฟริกา มีอายุประมาณ 2-4 ล้านปี มีขนาดสมองประมาร 800 ลูกบาศก์เซนตเมตร และมีฟันที่แสดงให้เห็นว่ากินเนื้อสัตว์ เป็นอาหารด้วย จึงจัดเป็นผู้บริโภคทั้งพืชและสัตว์ นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า มนุษย์ ชนิดนี้อาจจะยังมีขนแบบลิงอยู่แต่อย่างไรก็ตาม พบว่ามนุษย์ชนิดนี้เป็นมนุษย์พวกแรกที่รู้จักการใช้หินมาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือหรือเครืองใช้ในการดำรงชีวิตได้ 

                2)Homo  erectus เป็นมนุษย์ที่มีใบหน้าตั้งตรงเหมือนมนุษย์ยุคใหม่แล้ว มีขากรรไกรและฟันที่แข็งแรง โดยขากรรไกรจะเริ่มหดสั้นกว่า  Homo habilis ส่วนของกะโหลกซึ่งกว้างที่สุดอยู่ที่ระดับรูหู มีขนาดสมองประมา1000 ลูกบาศก์เซนติเมตร เชื่อกันว่ามนุษย์ชนิดนี้ไม่มีขนแบบลิงแล้ว และมีการกระจายตั้งแต่แอฟริกาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และยุโรป มนุษย์ยุคนี้เริ่มรู้จักการใช้ไฟ และประดิษฐ์ เครื่องมือต่างๆ จากก้อนหินได้ดีขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงจัดให้เป็นมนุษย์แรกเริ่ม(Early  man) ที่รู้จักกันดีก็คือมนุษย์ชวา (Java ape man)และมนุษย์ปักกิ่ง(Peking man) สำหรับมนุษย์ปักกิ่งนั้นถูกค้นพบซากอยู่ที่ถ้ำ จูกูเทียน(Zhoukoudian)ทางตอนเหนือของประเทศจีน ทำให้ทราบว่ามนุษย์ยุคนี้รู้จักการใช้ไฟ มีการล่าสัตว์โดยใช้ขวานหิน และในบางครั้งมนุษย์ปักกิ่งเป็นพวกที่กินเนื้อมนุษย์พวกเดียวกันอีกด้วย
                3).Homo sapiens neanderthalensis  หรือ มนนุษย์ดีแอนเดอร์ทัล  เป็นมนุษย์ที่พบว่ามีชีวิตอยู่ในช่วงทีน้ำส่วนใหญ่ของโลกกลายเป็นน้ำแข็งโดยซากดึกดำบรรพ์ที่พบมีอายุประมาณ 1 แสน ถึง 1 ล้านปี มีขนาดสมองประมาณ 1450 ลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนของกะโหลกซึ่งกว้างที่สุดอยู่ที่ระดับเหนือรูหู มีขากรรไกรล่างสั้นลักษณะหน้าผากเป็นสันนูนและลาดกว่ามนุษย์ในปัจจุบันสามารถยืนโดยลำตัวตั้งตรงรู้จักการใช้ไฟ การล่าสัตว์ รูจักประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆโดยใช้หินคนที่ตายแล้วจะถูกนำไปฝังพร้อมกับช่อดอกไม้ อาหาร และอาวุธ มนุษย์พวกนี้รู้จักการหาที่อยู ่ อาศัยทั้งในถ้ำ หุบเขา หรือที่ราบ พบกระจายในบริเวณต่างๆกว้างขวางมากตั้งแต่ยุโรปตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงประเทศจีน

                4).Homo  sapiens  sapiens หรือ มนุษย์โครมายอง(Cro - Magnon man) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบัน กล่าวคือ มีกะโหลกศีรษะโค้งมน มากขึ้น ขากรรไกรหดสั้นลงกว่ามนุษย์นีแอนด์เดอร์ทัลมาก และแก้มนูนเด่นชัดขึ้น แม้ว่ามนุษย์ ชนิดนี้จะมีใบหน้าเล็กแต่ก็มีสมองขนาดใหญ่ประมาณ 1300-1500 ลูกบาศก์เซนติเมตรซึ ่งมีความเฉลียวฉลาดสามารถประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆสำหรับดำรงชีพและรู้จักการเขียนภาพต่างๆด้วยจากการศึกษาพบว่ามนุษย์โครมายองมีชีวิตอยู่ใน ช่วงประมาณ 50000 ปีมาแล้ว


        จากการศึกษา การกระจายของมนุษย์ในอดีต พบว่ามนุษย์วานร พวก Australopihecus sp.อาศัยอยู่ในแถบเอธิโอเปีย ทนวาเนีย และเคนยา ซึ่งเป็นแถบตะวันออกของทวีปแอฟริกา ส่วนพวกมนุษย์ที่แท้จริงพวกแรกๆ คือ Homo habilis และ Homo erectus พบว่ามีการกระจายเป็นบร ิเวณกว้างกว่า กล่าวคือ พบทั้งในแถบตะวันออกและทางใต้ของทวีปแอฟริกา ยุโรป จีน และอินดดนีเซีย สำหรับมนุษย์นีแอนด์เดอร์ทัลนั้นพบซากดึกดำบรรพ์ค่อนข้างมากในทวีปยุโรปเมื่อศึกษาเปรียบเทียบกะโหลกของไพรเมตตั้งแต่ยุคแรกๆจนกระทั่งถึงมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณ ะต่างๆ หลายประการ เช่นรูปทรง ลักษณะขนาดและสัดส่วนต่างๆของกะโหลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยาว และขนาดของขากรรไกร ลักษณะของหน้าผาก และรูปแบบการ จัดเรียงตัวของฟัน เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สายวิวัฒนาการต่อเนื่องกันเป็นลำดับ
             การศึกษาเรื่องราววิวัฒนาการของมนุษย์เป็นเวลายาวนานทำให้มนุษย์วิทยาอธิบายถึงความเกี่ยวโยงกันของบรรพบุรุษมนุษย์ในอดีตเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบันได้ โดยเชื่อกันว่าในช่วงเวลาประมาณ 15 ล้านปีมาแล้วนั้นมีการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกจนเกิดเป็นRamapithecusซึ่งเป็นมนุษย์วานรยุคแรกๆที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างไพรเมตกับบรรพบุรุษของมนุษย์ในเวลาต่อมามนุษย์วานรพวกนี้อาศัยอยู่ในที่โล่งแจ้งหรือตามชายป่า  กินพืช  ผัก  ผลไม้เป็นอาหารยังมีพฤติกรรมคล้ายลิงไม่มีหางอยู่มาก ต่อมาจึงวิวัฒนาการเป็นพวกAustralpithecus  ชนิดต่างๆซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประามาณ 5 ล้านปีมาแล้วมนุษย์วานรพวกนี้เริ่มเดินด้วยลำตัวที่ตั้งตรงได้ดีขึ้นช่งวยให้มองเห็นผู้ล่าแ ละเหยื่อได้อย่างมีประสิธิภาพ แต่ยังมีลักษณะโบราณอยู่คือมีขากรรไกรขนาดใหญ่ หน้าผากลาดไปด้านหลัง ขนาดสมองยังเล็กเมื่อเทียบกับใบหน้าขนาดใหญ่ พวกเขาสามารถล่าสัตว์กินเป็นอาหาร ซึ่งนับเป็นจุดหักเหสำคั ที่มนุษย์วานรเปลี่ยนแปลงจากการกินพืชผักมาเป็นกินเนื้อสัตว์ด้วย ต่อมาประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาจนถึงยุคของบรรพบุรุษของมนุษย์ คือ Homo habilsซึ่งรู้จักการตั้งถิ่นฐานมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่เพศชายออกล่าอาหารเพศหญิงก็ดูแลลูกอ่อน รักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือออกหาผลไม้ มนุษย์ยุคนี้เริ่มมีความผูกพันธ์ต่อกันเป็นสังคม  เริ่มต้นที่มีการเลือกคู่ไม่สมสู่กันเหมือนไพรเมตชนิดอื่นๆ  เมื่อมาถึงยุคของ Homoerectus  ซึ่งถือว่าเป็นมนุษย์แรกเรื่มนั้น วิวัฒนาการขยองมนุษย์ก้าวไปมากขึ้น รู้จักการใช้ไฟ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในยุคนั้นรู้จักการใช้หอกไม้ในการล่าสัตว์ใหญ่ๆเช่น กวาง ม้า รู้จักการหุงต้มอาหารให้สุก รู้จักการใช้หนังสัตว์ เป็นเครื่องนุ่งห่ม จนกระทั่งเมื่อ 3 แสนปีที่ผ่านมาจนถึงยุคของมนุษย์ยุคใหม่ คือ  Homo sapiens ซึ่งได้พัฒนารูปแบบสมองใหมีขนาดใหญ่ขึ้น แม้จะมีใบหน้าเล็กก็ตาม ส่วนของขากรรไกรสั้นลง หน้าผากเกือบตั้งตรง  ทำให้รูปโฉมใบหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม นอกจากนี้ยังสามารถทรงตัว และเคลื่อนที่ด้วยขา 2 ขาในขณะที่ลำตัวตั้งตรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 สำหรับมนุษย์ในปัจจุบันนั้น นักมนุษยวิทยาพบว่า มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากมนุษย์ในอดีตอยู่หลายประการ คือ
     1.ยืนตัวตรง เคลื่อนที่ด้วยขา 2 ขา ช่วงขายาวกว่าช่วงแขน
     2.หัวแม่มือสั้นและงอ พับเข้ามาที่อุ้งมือได้ สามารถงอนิ้วทั้ง 4 ได้ จึงใช้จับ ดึง ขว้าง ทุบ ฉีก แกะ และทำกิจกรรมต่างๆได้ รวมทั้งการออกแบประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ได้
     3.กระดูกคอต่อจากใต้ฐานหัวกะโหลก กระดูกสันหลังโค้งเล็กน้อย เป็นรูปตัว เอสและสมองมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับร่างกาย หน้าสั้นแบน หน้าผากค่อนข้างตั้งตรงขากรรไกรสั้น
     4.กระดูกสะโพกกว้าง ใหญ่และแบนให้กล้ามเนื้อเกาะเพื่อให้ลำตัวตั้งตรงเท้าแบนร่างกายไม่ค่อยมีขนแนวฟันโค้งเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม




    การศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ในอดีต    นอกจากทำให้นักมนุษยวิทยาทราบความเป็นมา ของบรรพรุษมนุษย์ในอดีตแล้ว  ยังทำให้สามารถอธิบายถึงความเป็นอยู่ และการดำลงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละยุดได้อีกด้วย  คือ
      1.  การอยู่เยี่ยงเดรัจฉาน ( savagery ) เป็นยุดที่มนุษย์เพศชายยังทำหน้าที่ล่าสัตว์และแสวงหา พืช  ผัก ผลไม้เป็นอาหารตามธรรมชาติ  แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
           1.1  ระยะก่อนรู้จักใช้ไฟและภาษา  ตรงกับยุดหินเช่นเก่า  ( Eolithic )  พบในมนุษย์พวก Homo  habilis
           1.2  ระยะรู้จักใช้ไฟและภาษา   ตรงกับเก่าเช่นกัน  มนุษย์พวกนี้รู้จักใช้ถํ้าเป็นที่อยู่  อาศัย  ได้แก่  พวกมนุษย์  Homo   erectus  ซึ่งก็คือ มนุษย์ชวาและ
มนุษย์ปักกิ่ง นั้นเอง
           1.3  ระยะรู้จักประดิษฐ์ธนูและลูกศร  ตรงกับยุดหินกลาง มนุษย์พวกนี้รู้จักการใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มได้แก่ มนุษย์Homo  sapiens
      2.การอยู่อย่างป่าเถื่อน(Babarism)เป็นบยุคที่มนุษย์รู้จักการใช้โลหะทำเครื่องมือ ทำการเกษตรกรรม  ทอผ้า  สังคมในยุคนี้มีระบบทาส  เพศชายมีภรรยาได้
หลายคน   และทำหน้าที่ปกครอง  ส่วนเพศหญิงทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
           2.1ระยะแรกประมาณ 12000 ปีมาแล้ว ยุคนี้มนุษย์รู้จักการปลูกบ้านสร้างเรือนเพื่ออยู่อาศัย รู้จักใช้ขวานมีด้ามและใช้เครื่องปั้นดินเผา
           2.2ระยะกลางประมาณ 10000 ปีมาแล้วมนุษย์ยุคนี้รู้จักการเลี้ยงสัตง์การเกษตรกรรมรู้จักใช้สัตว์ช่วยในการไถนาหรือบรรทุกสิ่งของ
           2.3ระยะหลังประมาณ 7000ปีมาแล้ว มนุษย์รู้จักใช้โลหะทำอาวุธหรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
      3.การอยู่อย่างมีอารยธรรม(Civilization)เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรง มีการใช้ตัวอักษรในการสื่อความหมาย สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรม
เป็นอุตสาหกรรม
                ผลจากการวิวัฒนาการในยช่วงเวลายาวนาน ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปหลายแบบ ทั้งในแง่ของเส้นผม รูปร่าง ใบหน้า ความสูง รูปทรงศีรษะ หรือแม้กระทั่งสีผิว ทั้งๆที่ต่างก็เป็นสปีชีส์เดียวกัน มานุษยวิทยามีความเชื่อว่าในอดีตนั้นมนุษย์มีผิวสีเข้มเพียงสีเดียวเนื่องจากไม่มีขนหนาๆปกคลุมร่างกายเหมือนไพรเมตอื่นๆ จึงต้องมีผิวสีเข้ม เพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิคตย์ ต่อมาเมื่อมนุษย์มรการกระจายพันธ์ไปยังบริเวณต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะในบริเวณที่มีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นหรือเขตหนาวซึ่งได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่าเขตร้อนมากมนุษย์จึงมีการปรับตัวที่ละน้อยๆกลายเป็นมนุษย์ที่มีสีผิวแตกต่างกัน
       1.เผ่าคอเคซอยด์(Caucasoid)มีหนวดเคราและขนตามตัวดก จมูกโด่ง มีสีผิวอ่อน ได้แก่มนุษย์ที่อาศัยในแถบยุโรปและชาวอาหรับ
       2.เผ่ามองโกลอยด์(Mongoloid)มีหนวดเคราและขนตามตัวน้อย จมูกแฟบ โหนกแก้มสูง ตาชั้นเดียว มีผิวสีเห,ืองหรือสีน้ำตาล ได้แก่ มนุษย์แถบเอเชีย
และชาวเอสกิโม
       3.เผ่านีกรอยด์(Negroid)มีผมหยิก ผิวดำ จมูกแฟบ ริมฝีปากหนา ได้แก่พวกปิกมี ZPigme)หรือพวกที่อยู่ทางใต้ทะเลทรายซาฮารา
       4.เผ่าออสเตรลอยด์(Australoid)มีขนและเคราดำ ผมหยิก ผิวดำ ได้แก่ชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย และหมู่เกาะฟิลิปปินส์
          
              จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นไม่หยุดนิ่ง มนุษย์รู้จักใช้เหตุผลเพื่อปรับปรุงการดำรงชีพให้เหมาะสม สามารถสร้างเครื่องมือนานาชนิดในการดำรงชีพมนุษย์รู้จักคิดและใช้ปัญยาในการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์โดยอาศัยปัญหาในอดีตเป็นแนวทางเพื่ออนาคต   รู้จักริเริ่มการมีภาษาพูด   ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนาและจริยธรรมเมื่อรวมกลุ่มเป็นสังคมก็มีวัฒนธรรมแตกต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่นวสืบทอด หลายบชั่วอายุตลอดมา    มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน


 นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ ทีดอบฮานสกี(T. Dobhansky)ได้ให้ความเห็นว่ามนุษย์ ยังมีวิวัฒนาการอยู่ แต่ในทางชีวภาพก็ยังไม่ทราบว่าจะเป็นวิวัฒนาการไปในทิศทางใด  นอกจากทางชีวภาพแล้ว มนุษย์ยังมีวิวัฒนาการในทาง วัฒนธรรมอีกด้วย นก ค้างคาว หรือแมลง กว่าจะวิวัฒนาการเป็นสัตว์ที่บินได้ต้องอาศัยเวลาปรับตัวทางยีนเป็นเวลานับล้านปี แต่มนุษย์ก็สามารถ บินได้เช่นกัน ดดยเครื่องบินชนิดต่างๆ โดยไม่ต้องสร้างยีนขึ้นมาใหม่ และยังมีความก้าวหน้าในการคิดค้นประดิษฐ์เคื่องมือเครื่องใช้มากมายหลายชนิด การวิวัฒนาการ ทางวัตถ ุต่างๆก็อาจมีผลทำให้เกิดวิวัฒนาการทางชีวภาพไปด้วย ผลของการวิวัฒนาการต่อไปในโอกาสข้างหน้าก็เป็นเรื่องที่อาจคาดคะเนได้แต่จะเป็นไปตามการคาดคะเน หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไปค่ะ
 
                                      *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
แหล่งอ้างอิง:
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและเพิ่มเติม  ชีววิทยา เล่ม 5
http://www3.pantown.com/data/21821/board4/7520070829130301.jpg
http://www.geocities.com/anek04/evolution/image/human1.jpg
http://www.baanjomyut.com/library/human_evolution/index.html
http://eco-town.dpim.go.th/webdatas/HighMoon/03garbagekind.jpg